
ลูกสลับกันตั้งแต่แรกคลอด ศาลสั่งไม่ต้องคืนพ่อแม่จริง
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลสูงกอเต็งเหนือ ในกรุงพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ มีคำพิพากษาให้ เด็กทารก 2 คน ชาย-หญิง ที่ถูกพยาบาลสลับตัวกันโดยอุบัติเหตุ ภายหลังการคลอดที่โรงพยาบาล จะอยู่กับพ่อแม่ที่เลี้ยงดูพวกเขามาต่อไป ไม่ต้องแลกส่งคืนให้กับพ่อแม่ที่แท้จริง
เด็กทั้งสองคน ซึ่งปัจจุบันอายุได้ 5 ขวบเศษ คลอดวันเดียวกัน เมื่อต้นเดือน ส.ค. 2553 ที่โรงพยาบาลตัมโบ เมโมเรียล ในเมืองบอคส์เบิร์ก ถูกสลับตัวกันโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด และพ่อแม่นำลูกของอีกฝ่ายกลับบ้านไปเลี้ยงดู โดยไม่ทราบถึงความผิดพลาด จนกระทั่งแม่ที่เลี้ยงดูเด็กชาย ทำการตรวจดีเอ็นเอเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เนื่องจากอดีตสามีของเธอปฏิเสธการจ่ายค่าเลี้ยงดู โดยระบุว่าเด็กไม่ใช่ลูกของเขา ความจริงจึงปรากฏ และมีการสืบหาลูกสาวที่ถูกสลับตัวไป ตอนแรกแม่ที่เลี้ยงดูเด็กชายต้องการลูกสาวของเธอกลับคืน แต่ครอบครัวอีกฝ่ายไม่ยอม และต้องการเลี้ยงดูเด็กหญิงต่อไป จึงกลายเป็นคดีขึ้นสู่ศาล
คณะผู้เชี่ยวชาญของศูนย์กฎหมายเด็กได้ทำการศึกษาวิเคราะห์เรื่องนี้ และกล่าวว่า เนื่องจากเด็กทั้งสองคนมีความรักผูกพันที่แน่นแฟ้นกับพ่อแม้ที่เลี้ยงดูพวกเขามา ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุด หากพ่อแม่จะเลี้ยงดูลูกที่คิดมาตลอดว่าเป็นลูกที่แท้จริงต่อไป ดังนั้นตอนหนึ่งในคำพิพากษาจึงระบุว่า "กรณีนี้พ่อแม่จะไม่มีสิทธิทางกฎหมายต่อลูกในสายเลือดของตน" แต่อนุญาตให้ติดต่อพบปะกับลูกของตนเองได้ คำตัดสินของศาลเป็นที่พอใจและยอมรับของพ่อแม่ทั้ง 3 คน
คดีนี้ 2 ครอบครัวเรียกร้องให้คณะผู้บริหารโรงพยาบาลตัมโบ เมโมเรียล ยอมรับความผิดพลาด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความเห็นจากโรงพยาบาล ผู้เกี่ยวข้องในคดีหลายคนสันนิษฐานว่า ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นระหว่างการติดป้ายชื่อที่ข้อมือเด็ก ในช่วงชุลมุนระหว่างเปลี่ยนกะทำงานของพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่
ทางด้านทนายความของแม่ที่เลี้ยงดูเด็กชาย ซึ่งว่าความให้โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน กล่าวว่า ผลการตัดสินของศาลทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากโรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งจะช่วยเหลือด้านการเงินได้ไม่น้อยแก่ลูกความ ที่ขณะนี้ตกงานและถูกสามีทอดทิ้ง
จากการสัมภาษณ์แม่ที่เลี้ยงดูเด็กชาย ซึ่งสื่อท้องถิ่นเรียกขานเธอว่า "คุณแม่นิรนาม" กล่าวว่า เธอสงสัยในใจมาตลอดว่า เด็กที่เลี้ยงดูมาไม่ใช่ลูกที่เธอให้กำเนิดที่โรงพยาบาล และหลายปีที่ผ่านมาก็ได้แต่หวังว่าเธอคิดผิด แต่ความกลัวที่สุดของฉันก็กลายเป็นจริงจนได้ เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2553 เธอถูกแยกจากลูกสาวทารกของเธอเป็นเวลาหลายวัน เพื่อพักฟื้นจากการผ่าคลอด และเธอเชื่อว่าช่วงเวลานี้เองที่เกิดการสลับตัวทารก 2 คน เมื่อเธอไปตรวจดูลูกน้อย ปรากฏว่าพยาบาลอุ้มเด็กผู้ชายยื่นส่งให้ เธอยืนยันว่าลูกเธอเป็นผู้หญิง ได้อุ้มลูกในอ้อมแขนตอนหลังคลอด แต่กลุ่มพยาบาลต่างหัวเราะใส่เธอ ในที่สุด เธออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านพร้อมกับลูกชายและพยายามนึกว่าเธอสับสนเอง และเลี้ยงดูเด็กน้อยด้วยความรักและเอ็นดูมาตลอด แต่ในปี 2556 สามีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส หนีจากเธอไป เมื่อเธอร้องขอค่าเลี้ยงดูลูกทั้ง 2 คน เขาสั่งให้เธอตรวจดีเอ็นเอลูกชายคนเล็ก ซึ่งเขาบอกว่าไม่ใช่ลูกที่เกิดจากเขา เพราะหน้าตาไม่มีส่วนคล้ายกับเขาแม้แต่นิด และเขาจะจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูเฉพาะลูกคนโตเท่านั้น
ผลตรวจดีเอ็นเอไม่เพียงแต่ระบุว่าเขาไม่ใช่พ่อ เธอเองก็ไม่ใช่แม่ของเด็กเช่นกัน
คุณแม่นิรนาม เผยอีกว่า ในช่วงของการปฏิสัมพันธ์กับอีกครอบครัว ตามคำสั่งศาล เธอเห็นความรักความผูกพันลึกซึ้ง ระหว่างลูกสาวของเธอกับพ่อแม่ที่เลี้ยงดู สิ่งนี้ทำให้เธอตัดสินใจยอมรับคำตัดสินของศาล เพราะจะเป็นผลดีต่อลูกสาวมากที่สุด หากให้ครอบครัวอีกฝ่าย ซึ่งมีฐานะทางการเงินดีมาก เลี้ยงดูเธอต่อไป เสมือนทายาทในสายเลือด ขณะที่เธอเองก็จะเลี้ยงดูเด็กชาย เสมือนเป็นลูกในไส้ต่อไปเช่นกัน
คุณแม่นิรนาม กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทำใจได้ลำบากมาก ที่เห็นลูกสาวของเธออยู่กับอีกครอบครัว เด็กหญิงหน้าตาเหมือนเธอมากและเหมือนลูกคนโต เธอสามารถมองเห็นตัวเองเมื่อมองหน้าเด็ก ขณะที่เด็กชายที่เธอเลี้ยงมาก็มีหน้าตาเหมือนอีกครอบครัวไม่มีผิด เธอพยายามเตือนสติตัวเองว่า เด็กทั้งสองบริสุทธิ์ ไม่รู้เรื่องราวใดๆ และเด็กชายสมควรได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากเธอเหมือนเดิม "ฉันต้องปกป้องเขาจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เราใกล้ชิดกันมากเหลือเกิน และฉันก็รักเขามาก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะเทือนจิตใจฉันมากเหลือเกิน" เธอกล่าว