
10 คำถามกับไวรัสลงกระเพาะ
คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงคุ้นเคย หรือได้ยินชื่อโรคนี้กันอยู่บ่อยๆ เพราะหลายครั้งที่พาลูกไปหาหมอด้วยเรื่องไข้หวัด น้ำมูกไหล อาเจียน และบ่อยครั้งมีอาการท้องเสียร่วมด้วย พอตรวจแล้วคุณหมอก็มักจะบอกว่าลูกเป็นโรคไวรัสหรือหวัดลงกระเพาะ ซึ่งบางครั้งอาการอาเจียน หรือท้องเสียก็รุนแรงมากจนทำให้ลูกทานนมหรืออาหารไม่ได้ มีอาการขาดน้ำรุนแรง จนหมอต้องรับตัวลูกไว้รักษาในโรงพยาบาล และเนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่พบบ่อยมากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี จนแทบจะพูดได้ว่าเด็กในวัย 5 ปีแรกทุกคนจะต้องเคยเป็นโรคนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต จึงควรมาทำความรู้จักโรคนี้ เพื่อจะได้ทราบวิธีป้องกันและดูแลรักษาโรคนี้กันค่ะ
1. ไวรัสลงกระเพาะพบบ่อยในเด็กวัยใดและฤดูไหน? โรค ไวรัสลงกระเพาะมักเป็นในฤดูหนาว พบบ่อยช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ มักจะเป็นในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี เพราะเป็นวัยที่มีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ต่ำ และมีพฤติกรรมชอบเอาของเข้าปาก
2. สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคไวรัสลงกระเพาะ? โรค นี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจาก ไวรัสโรตา (Rotavirus) พบได้ถึงร้อยละ 16 ถึง 58 เปอร์เซ็นต์ ของเด็กที่ป่วยเป็นโรคท้องเสีย ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล โรคนี้ติดต่อได้ง่ายโดยเฉพาะทางปาก จากอาหาร ของเล่น หรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่โดยรอบตัว หรือเชื้อโรคติดกับมือคนที่ดูแลเด็กโดยไม่ได้ล้างมือให้สะอาด ก็จะทำให้เด็กได้รับเชื้อไวรัสนี้เข้าไป
3. อาการของโรคไวรัสลงกระเพาะ? หลัง จากเด็กได้รับเชื้อประมาณ 2-3 วัน จะเริ่มต้นด้วยการมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียนและมักจะตามด้วยอาการปวดท้อง ท้องเสียถ่ายอุจจาระเหลว บางคนอาจมีน้ำมูกไหลและไอร่วมด้วย ซึ่งโดยทั่วไปอาการไข้และอาเจียนมักจะหายเองภายใน 2-3 วัน ส่วนอาการท้องเสีย มักเป็นอยู่ประมาณ 3-9 วัน
4. ความรุนแรงและอันตรายของโรค? อาการ อาเจียนและท้องเสียนั้น เด็กบางคนอาจมีอาการไม่รุนแรงเพียงดูแลตามอาการก็จะดีขึ้นจนหายไปได้เอง แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรง จนทำให้กินอาหารไม่ได้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง จนต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล เพราะหากให้น้ำเกลือไม่ทัน อาจจะรุนแรงจนทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี เพราะภูมิต้านทานน้อยและตัวเล็กกว่าเด็กโต
นอกจากนี้ในรายที่เป็น รุนแรง เชื้อไวรัสโรตาจะทำลายเยื่อบุลำไส้ทำให้ลำไส้ขาด ส่งผลให้น้ำย่อยที่ใช้ย่อยน้ำตาลแล็กโตสในนมไม่ทำงาน ทำให้เกิดอาการท้องเสียมากขึ้น ถ่ายเหลว ท้องอืด เวลาถ่ายจะมีแก๊สหรือลมออกมาด้วยหลังจากเด็กกินนมไปไม่นาน และผิวหนังบริเวณก้นรอบทวารหนักจะมีผื่นแดง ถ้ายังให้เด็กกินนมตามปกติ จะยิ่งทำให้มีอาการท้องเสียเรื้อรังไม่หาย และเป็นโรคขาดอาหารได้ ดังนั้นการดูแลรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้ลูกหายเร็วไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรง จนเกิดผลเสียหรืออันตรายต่อชีวิต
5. วิธีดูแลรักษาเบื้องต้นที่บ้านก่อนพาลูกไปหาหมอ? ให้ ลูกดื่มน้ำเกลือแร่ที่เหมาะสำหรับเด็กท้องเสีย อาจจะเป็นชนิดน้ำหรือผงเกลือแร่ ไม่ควรใช้น้ำอัดลมและน้ำเกลือแร่ชนิดขวดสำหรับนักกีฬาผสม เพราะปริมาณน้ำตาลเกลือแร่ไม่เหมาะสมกับเด็ก ควรให้ลูกจิบ-ดื่มน้ำเกลือแร่ทีละน้อยแต่บ่อยๆ และไม่ควรให้ลูกดื่มน้ำเกลือแร่ครั้งละมากๆ เพราะอาจทำให้ลูกอาเจียนมากขึ้น
6. ให้ลูกกินอาหารและนมอย่างไรดีเมื่อลูกอาเจียนและท้องเสีย? หาก เด็กที่มีอาการท้องเสียไม่มาก ควรให้กินอาหารและดื่มนมตามปกติและไม่ควรเจือจางนม ส่วนเด็กที่ท้องเสียอย่างรุนแรง ควรให้กินอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มหรือโจ๊ก แต่ถ้ามีอาการอาเจียนควรให้กินอาหารครั้งละน้อยๆแต่บ่อยๆ ควรงดผัก ผลไม้ และน้ำผลไม้ กรณีที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโตสได้ หมอจะเปลี่ยนเป็นนมวัวหรือนมถั่วเหลืองแทนประมาณ 3-7 วัน เมื่อเด็กหายเป็นปกติแล้วก็สามารถกลับมากินนมชนิดเดิมได้
7. ไม่ควรให้ลูกกินยาประเภทใด? กรณี ที่ลูกมีอาการปวดท้องและอาเจียน อาจให้ยาแก้ปวดท้อง หรืออาเจียนตามอาการได้ แต่ไม่ควรให้กินยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส การกินยาปฏิชีวนะจึงไม่ช่วยให้โรคนี้หายเร็วขึ้น แต่กลับจะมีผลเสียและผลข้างเคียงทำให้อาการท้องเสียมากขึ้น และหายช้าลง ส่วนยาแก้ท้องเสีย จะยิ่งทำให้เชื้อโรคหรือสารพิษคั่งค้างอยู่ในลำไส้นานขึ้น
8. เมื่อไหร่จึงควรพาลูกไปหาหมอ? หาก อาการอาเจียนหรือท้องเสียไม่ดีขึ้น และลูกเริ่มมีอาการขาดน้ำอย่างรุนแรง เช่น ปากแห้ง กระหม่อมหรือเบ้าตายุบ ไข้สูง ซึมลง กระวนกระวาย หอบเหนื่อย ปัสสาวะน้อยลง หรืออาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน เป็นเรื้อรัง เป็นๆหายๆ ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือมีอาการที่คุณพ่อคุณแม่ไม่แน่ใจควรพาลูกไปพบแพทย์โดยด่วน
9. หมอทำอย่างไร เมื่อรับตัวเด็กท้องเสียไว้รักษาตัวที่โรงพยาบาล? เด็ก ที่มีอาการอาเจียนหรือท้องเสีย จนมีอาการขาดน้ำหรือเกลือแร่อย่างรุนแรง หมอจะรีบให้น้ำเกลือแร่เข้าหลอดเลือดดำ เพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำและเกลือแร่นั้นให้สู่ภาวะปกติ จะตรวจอุจจาระเพื่อหาสาเหตุว่าเกิดจากเชื้อโรคอะไรเพื่อจะได้ รักษาให้ถูกต้อง ตรวจเลือดเพื่อดูว่า ระดับเกลือแร่ในเลือดมีความผิดปกติมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้ปรับความเข้มข้นของเกลือแร่ในน้ำเกลือให้เหมาะสม และเมื่อเด็กพ้นภาวะวิกฤตฉุกเฉิน หมอจะพิจารณาเริ่มให้ดื่มน้ำเกลือแร่ กินอาหารอ่อน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นอาหารปกติ และดื่มนมตามความเหมาะสม
10. วิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคไวรัสลงกระเพาะ? ได้แก่ ขับถ่ายอุจจาระลงส้วมให้ถูกสุขลักษณะ ไม่ให้ออกมาปนเปื้อนกับอาหารหรือสิ่งแวดล้อม ต้องล้างมือให้สะอาดหลังขับถ่าย และคุณพ่อคุณแม่ควรต้มหรือนึ่งขวดและจุกนมอย่างน้อย 5-10 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนใช้ทุกครั้ง และควรรับประทานอาหารที่สะอาดและสุกแล้ว
รศ.นพ.สังคม จงพิพัฒน์วณิชย์
momypedia